ชุดตรวจฯ"จีที"
"GT" Pesticide test-kit

คำถาม & คำตอบ

 
 

ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป & การบริโภค


   ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป & การบริโภค/ คำถามที่ 1

พิษภัยของสารเคมีที่ตกค้างในพืชผัก ส่งผลกระทบอย่างไรต่อผู้บริโภค

 

    คำตอบ

เนื่องจากประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรมในเขตร้อน ที่มีศัตรูพืชชุกชุม จึงยังคงมีความจำเป็นในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผลิตผลการเกษตร โดยเฉพาะพืชผัก แต่จากการใช้ จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้มีการตกค้างของสารพิษในผักในระดับที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นหากเกษตรกรขาดความรับผิดชอบ มีการใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง จะมีผลให้มีสารพิษตกค้างในผักปริมาณสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษจากการบริโภคผักนั้นเป็นประจำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการสะสมของพิษเรื้อรัง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่แข็งแรง โดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าเกิดกับผู้บริโภคที่เป็นผู้ป่วย หรือเด็ก ทารก คนชรา ซึ่งกลไกการทำลายสารพิษในร่างกายมีน้อยกว่าคนแข็งแรงปกติทั่วไป การสะสมของสารพิษจะมากกว่าจนอาจเกิดพิษที่รุนแรง


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป" | กลับไปยังหน้าหลัก

   ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป & การบริโภค/ คำถามที่ 2

เกษตรกรที่ใช้สารเคมีในอัตราสูงต่อการผลิต จะเป็นอันตรายอย่างไร

 

    คำตอบ

โทษของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้รับจากการสัมผัส หายใจ จะเกิดกับเกษตรกรผู้ฉีดพ่น ส่วนผู้บริโภคจะได้รับพิษจากการบริโภคผักที่มีสารพิษตกค้างในปริมาณสูง ดังนั้นกรณีที่เกษตรกรมีการใช้สารเคมีในอัตราสูงต่อการผลิต จะเกิดผลเสียหลายกรณี กล่าวคือ อันตรายที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อผู้ฉีดพ่น จะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ คือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ น้ำตาไหล ม่านตาหรี่ น้ำมูกน้ำลายไหล และเหงื่อออกมาก สั่น ชัก หายใจขัด ในรายที่รุนแรง อาจถึงตาย เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลวและหัวใจหยุดเต้นเมื่อรับปริมาณสูง ด้านผู้บริโภค จะเกิดพิษเรื้อรังดังที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ ในด้านสิ่งแวดล้อม ผลจากการใช้สารเคมีในปริมาณสูง จะทำให้สภาพของดินเสีย เกิดการแข็งตัว ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป" | กลับไปยังหน้าหลัก

   ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป & การบริโภค/ คำถามที่ 3

ขอคำแนะนำการเลือกซื้อผักและสัตว์มาบริโภคอย่างปลอดภัย และวิธีการล้างยาฆ่าแมลงในพืชและสัตว์แบบง่าย

 

    คำตอบ

การเลือกซื้อพืชผักและเนื้อสัตว์ โดยมากคำนึงถึงความสดของอาหาร เช่น ผักต้องมีใบสดเขียว เนื้อสัตว์ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือเป็นเมือก มีสีแดงเนื้อแน่น ไม่เขียว คล้ำหรือดำ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถสังเกตได้ว่า อาหารเหล่านั้นจะมีสารพิษตกค้างอยู่หรือไม่ วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดที่ผู้บริโภคควรเอาใจใส่และควรมีส่วนร่วมในการลดปริมาณสารพิษให้ปลอดภัยต่อตนเองยิ่งขึ้น คือ การล้างทำความสะอาดก่อนนำมาบริโภค จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณสารตกค้างในอาหาร พบว่า
- การลอกใบนอกออก เช่น กะหล่ำปลี สารพิษส่วนใหญ่ติดอยู่ที่กาบนอก เมื่อตัดส่วนนอกออก ปริมาณการตกค้างลดลงได้มาก
- การล้างน้ำ สามารถลดปริมาณสารตกค้างได้ เช่น ผักกาดเขียว เมื่อล้างน้ำลดสารพิษได้ร้อยละ 65 ใช้ดีเทอร์เจนลดได้ร้อยละ 65 เช่นเดียวกัน
- การหุงต้มตามวิธีการที่ใช้ตามบ้านเรือน ช่วยลดสารพิษได้ร้อยละ 56 การลวกด้วยน้ำร้อน ลดลงร้อยละ 69
วิธีการที่สะดวก ง่าย คือการล้างด้วยน้ำสะอาดสัก 3 กะละมัง ผักประเภทเป็นกาบหรือผักใบ ให้ล้างที่ละกาบที่ละใบ ในน้ำกะละมังแรก ล้างสะอาดต่อในกะละมังที่ 2 และ หากต้องการแช่ผัก ให้แช่น้ำในกะละมังสุดท้าย ถ้าเป็นผักผลไม้ประเภทกินดิบไม่ปอกเปลือก ให้ขัดผิวผักผลไม้เบาๆ ประเภทปอกเปลือกบริโภค ก็ต้องล้างน้ำก่อนปอกเปลือก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนขณะปอกเปลือก ไม่ให้สารพิษติดไปกับเนื้อผล ประเภทผักปรุงสุก ก็ควรล้างน้ำก่อน แม้ว่าความร้อนจะทำให้สารพิษสลายตัวได้ก็ตาม แต่การล้างน้ำก่อนจะช่วยให้สารพิษหมดไปกับน้ำ


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป" | กลับไปยังหน้าหลัก

   ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป & การบริโภค/ คำถามที่ 4

เมื่อทำการ reject ตัวอย่างผักที่ตรวจคัดกรองโดยวิธีGT-kit ว่าไม่ปลอดภัย แต่ภายหลัง
มีการตรวจยืนยันโดยวิธีทางห้องปฏิบัติการแล้วว่า ตรวจไม่พบสารพิษ ท่านคิดว่าเป็นธรรมต่อ
ผู้ขายผักหรือไม่

 

    คำตอบ

เป็นที่ทราบกันแล้วว่า วิธีGT-kit ไม่ได้ให้ผล +ve (Positive) กับสารพิษกลุ่มฟอสเฟตและคาร์บาเมท เท่านั้น แต่ยังให้ผล + ve (Positive)กับสารพิษใดๆก็ได้ที่สารตั้งต้นมีการใช้กับพืชแล้วเกิดการสลายตัว ด้วยเนื้อเยื่อของพืช เอง หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยกรรมวิธีใดๆก็ตามที่ทำให้เกิดสารพิษใหม่ที่ให้ผลเป็นพิษต่อเอ็นไซม์ ก็ย่อมให้ผล + ve (Positive) ซึ่งจะมีพิษมากหรือน้อย ขึ้นกับแต่ละกรณี ขณะที่วิธีทางห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถตรวจหาชนิดสารพิษได้ทั้งหมด โดยเฉพาะสารพิษใหม่ที่เกิดจากการสลายตัวของสารตั้งต้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อพืช ย่อมตรวจไม่ได้ และนอกจากนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยังใช้เวลานาน ดังนั้นการ rejectตัวอย่างไว้ก่อน ถือเป็นการสมควร เพราะถือว่าภาวะนั้นอาหารไม่ปลอดภัย ไม่ควรปล่อยให้ผักที่มีสารพิษไปถึงมือผู้บริโภค แม้ว่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการภายหลังจะไม่พบสารตกค้าง แต่ตามความเป็นจริงคือเกิดความเป็นพิษขึ้น ซึ่งในประกาศสธ. ฉบับที่ 163 (พ.ศ.2538)กำหนดคำจำกัดความของสารพิษตกค้างซึ่งครอบคลุมไม่เฉพาะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์เท่านั้น แต่ยังคลุมถึง “.......สิ่งปลอมปนที่มีความเป็นพิษซึ่งปนเปื้อนหรือตกค้างในอาหาร “ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นสารพิษใดบ้าง แต่วิธี GT-kit ตรวจได้ (ไม่ได้หมายความว่าตรวจได้ทุกชนิด)กรณีคำถามนี้ ขอยกตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้ว คือ ซอสปรุงรสที่เกิดสารพิษ 3-MCPD ที่หลายประเทศไม่ให้นำเข้าไปจำหน่าย ทำให้ต้องมีมาตรการศึกษาวิจัยเพื่อลดปริมาณและกำหนดค่าต่ำสุดของสารนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ซอสปรุงรสขึ้นทะเบียนอาหารควบคุมและจำหน่ายได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวเราจึงรู้ได้ว่ายังมีสารเคมีอีกมากมายที่อยู่ภายใต้การควบคุม ที่มีพิษและเรายังไม่รู้ ซึ่งคงจะดีกว่าหากเรามีการ screening test ที่สามารถบอกได้ว่าส่วนผสมรวมทั้งหมดนั้นมีพิษหรือไม่ เมื่อได้ผลว่าไม่ปลอดภัย นำตัวอย่างดังกล่าวเพื่อทำ standard testing ก็ยังไม่สายเกินไป ทั้งยังสามารถเรียนรู้ว่าสารตัวใดที่ปลอมปนกับสิ่งใดแล้วเกิดพิษ ที่กล่าวมานั้นต้องมีความร่วมมือในการวิจัยจากหลายๆฝ่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพอาหารของคนไทยเรา


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องโดยทั่วไป" | กลับไปยังหน้าหลัก

Note: คำถามที่นำมาลงเหล่านี้เป็นคำถามที่มักจะมีการถามอยู่เป็นระยะ ดังนั้นทางเราจึงมิได้ลงชื่อและหน่วยงานเพื่อเป็นเครดิตแก่ท่านใด

 

 

 

 

bottomline
 

ผู้ดูแลเว็บ | เว็บเกี่ยวข้อง
© 2004 GT trading