ชุดตรวจฯ"จีที"
"GT" Pesticide test-kit

คำถาม & คำตอบ

 
 

ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจ"จีที"


    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 1

หลอดตัวอย่างผักที่เป็นเกษตรอินทรีย์ เช่น ต้นหอม กระเทียม ดอกหอม เป็นต้น มีสีเข้ม
กว่าหรือเท่ากับหลอดตัดสิน ทั้งที่ผู้ปลูกแจ้งว่าไม่ได้ใช้สารเคมีกำจัดแมลง แต่มีการใช้สารสกัดจากธรรมชาติทดแทน

 

    คำตอบ

ตัวอย่างผักที่เป็นเกษตรอินทรีย์ โดยทั่วไปมีการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สะเดา ,EM เป็นต้น ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หลอดตัวอย่างผักที่ได้จะมีสีเท่ากับ/อ่อนกว่าหลอดควบคุม แต่หากมีการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเกินความจำเป็น ผลการตรวจตัวอย่างเหล่านั้นด้วยชุดจีที จะพบว่าหลอดตัวอย่างมีสีเข้มกว่าหลอดควบคุมเสมอ โดยความเข้มของสีที่แสดงปริมาณสารพิษมากหรือน้อยจะแปรตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของพืชผักที่มีองค์ประกอบของเนื้อเยื่อต่างกัน พืชผักต่างชนิดกันอาจทำลายพิษหรือเสริมฤทธิ์ให้เกิดสารพิษใหม่ หรือแม้แต่พืชผักชนิดเดียวกัน หากตกอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น ภาวะฝนดี หรือแห้งแล้งเกิดภาวะเครียด ก็ให้ผลไม่เหมือนกันได้ ตัวอย่างเช่น ระยะหนึ่งเคยตรวจต้นหอมปลอดสารพิษได้สีเท่ากับหลอดควบคุม ต่อมาพบว่า ต้นหอมจากแหล่งเดิมให้สีเข้มกว่าหลอดควบคุม แสดงว่าอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น หน้าร้อนขาดน้ำ หรือฉีดพ่นสารสกัดธรรมชาติมาก ทำให้สีที่ตรวจได้เข้มกว่าภาวะปกติที่เคยตรวจได้ แต่ถ้าผิดปกติโดยสีที่เกิดขึ้นเข้มกว่า/เท่ากับหลอดตัดสิน ก็ย่อมไม่ปลอดภัย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือสารพิษ(ที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง)ที่เอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรสเป็นตัวตรวจสอบแทนผู้บริโภค ในขณะที่วิธีมาตรฐานไม่สามารถบอกได้ ฉะนั้นการทำเกษตรอินทรีย์ก็ต้องคำนึงถึง ความพอดีในการใช้งานของสารทดแทนจากธรรมชาติ


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 2

ตรวจตัวอย่างพริกที่แจ้งว่าไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงแล้วพบว่า ไม่ปลอดภัย(เข้มกว่า/เท่ากับหลอดตัดสิน) จะrejectตัวอย่างหรือไม่?

 

    คำตอบ

จากการศึกษาข้อมูลการตรวจตัวอย่างพริกเมื่อใช้ตัวอย่าง 5 กรัมพบว่า พริกแต่ละชนิดแต่ละพันธุ์ มีสารที่inhibit เอ็นไซม์แตกต่างกันไป ทั้งนี้อาจขึ้นกับความเผ็ดของตัวพริกเอง ทำให้พบว่า บางชนิดสีที่ตรวจได้เท่ากับหลอดควบคุม แต่บางชนิดสีเข้มกว่าหลอดควบคุมตั้งแต่เล็กน้อยจนเกือบเท่าหลอดตัดสิน ดังนั้นในการประชุมของคณะauditorโครงการรับรองระบบตรวจสอบสารพิษตกค้างในผักผลไม้ จึงตกลงกันว่า ยอมให้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์ตัวอย่างพริกที่ใช้ตัวอย่างน้อยลง 4 เท่าคือ ใช้น้ำหนักตัวอย่าง 2.5 กรัมต่อน้ำยาสกัด-1 จำนวน 10 มล. เพื่อตัดปัญหาสารพิษในตัวอย่างที่รบกวนการตรวจ ซึ่งการลดปริมาณตัวอย่างลงแล้วพบว่าหลอดตัวอย่างมีสีเข้มกว่า/เท่ากับหลอดตัดสิน จะอ้างว่ามาจากตัวอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ และกรณีที่ยอมให้ลดปริมาณตัวอย่างในการวิเคราะห์ลงนั้น คณะประชุมมีความเห็นว่า ปริมาณการบริโภคพริกจะน้อยกว่าปริมาณการบริโภคผักทั่วๆไป และในการวิเคราะห์ตัวอย่างพริกโดยวิธีมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการ ยังยอมให้มีการเจือจางตัวอย่างประมาณ 2-5 เท่า ก่อนการฉีดเข้าเครื่องแก๊สโครมาโตกราฟ แต่อย่างไรก็ตาม การ reject ตัวอย่างหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการทำข้อตกลงระหว่าdealer กับ supplier ที่จะกำหนดปริมาณตัวอย่างวิเคราะห์


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 3

ผลการตรวจตัวอย่างผักว่าไม่ปลอดภัยด้วยชุดจีที แต่เมื่อส่งตรวจโดยวิธีมาตรฐานทาง
ห้องปฏิบัติการแล้วไม่พบอะไรเลย

 

    คำตอบ

การตรวจหาสารพิษตกค้าง โดยวิธีมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการที่ใช้เครื่อง GC,
HPLC กับการตรวจคัดกรองโดยวิธีของชุดจีที มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ วิธีมาตรฐานจะใช้วิธีตรวจที่เรียกว่า วิธี Multiresidues Method ตรวจสารเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มสารประกอบคลอรีน ฟอสเฟต คาร์มาเมท และไพรีทรอยด์ โดยการที่จะตรวจพบว่าเป็นสารพิษชนิดใด จะต้องมีสารมาตรฐานชนิดนั้นมาเปรียบเทียบ ถ้าหากเป็นสารพิษที่เป็นยาฆ่าแมลงชนิดที่ไม่มีสารเปรียบเทียบ หรือเป็นสารพิษที่สารตั้งต้นเปลี่ยนรูป/สลายตัวไปเป็นสารพิษอื่น หรือเป็นสารพิษที่เกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง วิธีมาตรฐานจะตรวจไม่ได้ แต่วิธีของชุดจีที เป็นการตรวจที่ระดับความเป็นพิษของสาร (Toxicity) ซึ่ง สารพิษที่ตกค้างในผัก ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลงหรือสารพิษที่เกิดจากสารตั้งต้นเปลี่ยนรูป/สลายตัวไปเป็นสารพิษอื่นที่ให้ผลinhibit เอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส วิธีของชุดจีทีสามารถตรวจได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ ผลการตรวจตัวอย่างผักว่าไม่ปลอดภัยด้วยชุดจีที แต่เมื่อส่งตรวจโดยวิธีมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการแล้วไม่พบอะไรเลย
สรุปสาเหตุในข้อนี้เกิดจาก :
- มีสารชนิดใดชนิดหนึ่งใน 4 กลุ่มข้างต้น หรือเป็นกลุ่มอื่นที่ analystวิเคราะห์ไม่ได้
- มีสารชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดใน 4 กลุ่มข้างต้น ที่มีปริมาณต่ำกว่าที่เครื่องมือจะตรวจได้ แม้สารเหล่านี้มีปริมาณต่ำก็จริง แต่อาจมีการเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน หรือเสริมฤทธิ์กับเนื้อเยื่อของพืช ทำให้เกิดความเป็นพิษสูงได้


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 4

ปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ ใช้สารสะเดาสกัดฉีดพ่น เมื่อเก็บผลผลิตขาย ผู้รับซื้อใช้ชุดจีทีตรวจ พบว่า ผลผลิตส่วนใหญ่ที่ได้ให้สีเท่ากับหรือเข้มกว่าหลอดควบคุมเล็กน้อย ยกเว้นต้นหอมให้สีเท่ากับหลอดตัดสิน

 

    คำตอบ

การฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สะเดา เป็นต้น แม้ว่าจะเป็นสารจากธรรมชาติก็ตาม ย่อมมีขอบเขตของการใช้ในปริมาณพอเหมาะพอควรเช่นกัน การฉีดพ่นมากเกินความจำเป็น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สารสกัดจากธรรมชาติอาจทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อของพืช เกิดความเป็นพิษที่ไม่เท่ากันในพืชแต่ละชนิด ทำให้ผลผลิตที่ได้ให้สีแตกต่างกัน ตั้งแต่สีที่เกิดขึ้นเท่ากับหลอดควบคุม(ไม่มีความเป็นพิษ) สีเข้มกว่าหลอดควบคุมเล็กน้อย(มีพิษเล็กน้อย) กับสีเข้มเท่ากับหลอดตัดสินในตัวอย่างต้นหอม ดังนั้น ในการฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ควรฉีดตามความจำเป็น


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 5

ใช้ชุดจีทีตรวจหาสารพิษตกค้างในอาหารพร้อมบริโภค จะประเมินผลอย่างไร

 

    คำตอบ

อาหารพร้อมบริโภค คืออาหารที่ผ่านกระบวนการการทำความสะอาด ปรุงสุก/ไม่ปรุง สุกก็ได้ เช่น สลัดผัก ซึ่งแต่ละขั้นตอนสามารถทำให้สารพิษหมดไป หากระดับการตกค้างในวัตถุดิบอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ดังนั้นอาหารที่พร้อมบริโภค หากตรวจด้วยชุดจีที การประเมินผลจะต้องตรวจไม่พบสารพิษตกค้าง คือสีในหลอดตัวอย่างจะต้องไม่เข้มกว่าหลอดควบคุม


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 6

ชุดจีทีตรวจหาสารพิษตกค้างในตัวอย่างน้ำ /ดินได้หรือไม่ และประเมินผลอย่างไร

 

    คำตอบ

ชุดจีทีสามารถตรวจหาสารพิษตกค้างในตัวอย่างน้ำ/ดินได้ โดยการสกัดตัวอย่างได้กล่าวไว้แล้วในเอกสารแนบในชุดทดสอบ ส่วนการประเมินผล ถ้าเป็นน้ำ/ดินจากแหล่งปนเปื้อนหรือน้ำ/ดินร่องสวน ถ้าตรวจพบจะบอกได้ว่า มีสารพิษตกค้างที่ระดับใด (ไม่เกี่ยวข้องกับปลอดภัย/ไม่ปลอดภัย) เพื่อจะได้นำข้อมูลไปดำเนินการ แต่หากเป็นน้ำเพื่อจุดประสงค์ในการนำไปดื่ม ผลที่ได้จะต้องตรวจไม่พบสารพิษตกค้าง คือสีที่ได้จะต้องไม่เข้มกว่าหลอดควบคุม


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 7

สงสัยว่าน้ำดื่มอาจปนเปื้อนสารพิษ จะใช้ชุดจีทีตรวจได้หรือไม่

 

    คำตอบ

หากน้ำดื่มนั้นปนเปื้อนด้วยสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ชุดจีทีสามารถตรวจหาสารพิษนั้นได้


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 8

ชุดจีทีชนิด 10 เทส(test) หรือ 30 เทส(test) ทำไมตรวจไม่ได้ตามนั้น

 

    คำตอบ

การตรวจด้วยชุดจีทีจะต้องวางแผนการตรวจ หากเป็นชนิด 10 เทสต้องการตรวจให้ได้ 10 ตัวอย่าง จะต้องสกัดตัวอย่างเพื่อตรวจพร้อมกันทีเดียว 10 ตัวอย่าง +หลอดควบคุม+หลอดตัดสิน รวมเป็น 12 เทส ส่วนชนิด30 เทส ก็เช่นเดียวกันกับ 10 เทส


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 9

ทำไมถาดน้ำอุ่นดัดแปลงในชุดอุปกรณ์ เมื่อเปิดไฟตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมงแล้ว อุณหภูมิไม่ขึ้นถึงขีดที่กำหนดในเทอร์โมมิเตอร์

 

    คำตอบ

ถ้าภายใน 1 ชั่วโมงแล้วอุณหภูมิของน้ำไม่ถึงขีดที่กำหนดในเทอร์โมมิเตอร์ ให้ท่านสำรวจว่า ท่านวางตำแหน่งของเตาดัดแปลงๆไว้ในที่ที่ี่เครื่องปรับอากาศเย็นเกินไป หรืออยู่ในตำแหน่งที่พัดลมเป่าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ วิธีแก้คือ อย่าให้พัดลมเป่าตรงและถ้าต้องการตรวจได้เร็วขึ้นให้ใช้วิธีเติมน้ำอุ่นลงไปแทนน้ำธรรมดา โดยเฉพาะหน้าหนาวอุณหภูมิของนำ้ที่ใส่ลงไปจะเย็นกว่าปกติ การที่หลอดไฟจะทำให้ถาดอลูมิเนียม ร้อนจนอุณหภูมิของน้ำอุ่นขึ้นถึงขึดที่กำหนดตอ้งใช้เวลานานขึ้น

7/ ธ.ค./ 47


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 13

ทำไมผลการตรวจพืชผักอินทรีย์, ผักปลอดสาร ที่ไม่ได้มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเลย เหตุใดผลการตรวจจึงออกมาว่า
พบสารพิษตกค้างได้? และจะมีเกณฑ์การตัดสินที่เหมาะสมสำหรับพืชผักอินทรีย์เหล่านี้อย่างไร

 

    คำตอบ

คุณต้องทำความเข้าใจใหม่ เพราะด้วยการตรวจด้วยชุดตรวจฯจีทีนั้นต้องการอุณหภูมิน้ำ้ที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิในร่างกาย คืออุณหภูมิต้องไม่เกิน 37 องศาเซลเซียส ดังนั้นอุณหภูมิที่ใช้ในการตรวจ คือ บวก ลบ 2 จาก 35 องศาเซลเซียส

7/ ธ.ค./ 47


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 8

ชุดจีทีชนิด 10 เทส(test) หรือ 30 เทส(test) ทำไมตรวจไม่ได้ตามนั้น

 

    คำตอบ

การตรวจด้วยชุดจีทีจะต้องวางแผนการตรวจ หากเป็นชนิด 10 เทสต้องการตรวจให้ได้ 10 ตัวอย่าง จะต้องสกัดตัวอย่างเพื่อตรวจพร้อมกันทีเดียว 10 ตัวอย่าง +หลอดควบคุม+หลอดตัดสิน รวมเป็น 12 เทส ส่วนชนิด30 เทส ก็เช่นเดียวกันกับ 10 เทส


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 9

ทำไมถาดน้ำอุ่นดัดแปลงในชุดอุปกรณ์ เมื่อเปิดไฟตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมงแล้ว อุณหภูมิไม่ขึ้นถึงขีดที่กำหนดในเทอร์โมมิเตอร์

 

    คำตอบ

ถ้าภายใน 1 ชั่วโมงแล้วอุณหภูมิของน้ำไม่ถึงขีดที่กำหนดในเทอร์โมมิเตอร์ ให้ท่านสำรวจว่า ท่านวางตำแหน่งของเตาดัดแปลงๆไว้ในที่ที่ี่เครื่องปรับอากาศเย็นเกินไป หรืออยู่ในตำแหน่งที่พัดลมเป่าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ วิธีแก้คือ อย่าให้พัดลมเป่าตรงและถ้าต้องการตรวจได้เร็วขึ้นให้ใช้วิธีเติมน้ำอุ่นลงไปแทนน้ำธรรมดา โดยเฉพาะหน้าหนาวอุณหภูมิของนำ้ที่ใส่ลงไปจะเย็นกว่าปกติ การที่หลอดไฟจะทำให้ถาดอลูมิเนียม ร้อนจนอุณหภูมิของน้ำอุ่นขึ้นถึงขึดที่กำหนดตอ้งใช้เวลานานขึ้น

7/ ธ.ค./ 47


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 10

ทำไมเมือเปิดไฟในกล่องไม้แล้วเป็นชั่วโมงแล้ว อุณหภูมิของน้ำไม่เดือด

 

    คำตอบ

คุณต้องทำความเข้าใจใหม่ เพราะด้วยการตรวจด้วยชุดตรวจฯจีทีนั้นต้องการอุณหภูมิน้ำ้ที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิในร่างกาย คืออุณหภูมิต้องไม่เกิน 37 องศาเซลเซียส ดังนั้นอุณหภูมิที่ใช้ในการตรวจ คือ บวก ลบ 2 จาก 35 องศาเซลเซียส

7/ ธ.ค./ 47


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 11

เกษตรอินทรีย์(Organic Agriculture) คืออะไร?

 

    คำตอบ

เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบการเกษตรที่เน้นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและชีวภาพต่างๆ ซึ่งหลักการของเกษตรอินทรีย์จะไม่ใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในการปรับปรุงดิน ไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ตลอดจนไม่ใช้สารฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ ซึ่งในปัจจุบันนี้เกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมทางเลือกใหม่ เช่น ผักปลอดสาร(ผักไร้สาร) กำลังมีผู้ให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวาง ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องมาจากความใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมและความกลัวต่อพิษภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งในแต่ละปีมีรายงานการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก เกษตรอินทรีย์หรือเกษตรกรรมทางเลือกใหม่ จึงเป็นอีกวิถีการเกษตรที่น่าสนใจ มีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพรต่างๆหลายหลากสูตร ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยต้องดูว่าพืชสมุนไพรชนิดใดมีสรรพคุณในการกำจัดแมลงหรือศัตรูพืชใด และมีการออกฤทธิ์อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ดอกดาวเรืองคั้นน้ำแล้วผสมกับน้ำ 1-3 ส่วน ฉีดพ่นกำจัดหนอนใยผักและเพลี้ยอ่อน หรือนำใบสะเดาแก่ 200 กรัม ตำให้ละเอียดหมักในน้ำ 1 ลิตร หมักทิ้งไว้ 2 คืน กรองเอาน้ำออก และนำไปฉีดพ่นกำจัดหนอนกระทู้ผักและหนอนใยผัก เป็นต้น

13/ ม.ค./ 48


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 12

พืชผักอินทรีย์(Organic Agriculture), ผักปลอดสาร(ผักไร้สาร) ซึ่งไม่มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเลยนั้น
มีความจำเป็นต้องตรวจสอบสารพิษตกค้างด้วยชุดน้ำยา”จีที” หรือไม่

 

    คำตอบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นพืชผักอินทรีย์ ผักปลอดสารหรือผักไร้สารก็ตาม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการตรวจสอบสารพิษตกค้างด้วยชุดน้ำยา”จีที” เนื่องจากหลักการผลิตพืชผักเหล่านี้มีการใช้สารสกัดจากสมุนไพรชนิดต่างๆในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชทดแทนการใช้สารเคมี ซึ่งผลของการใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพรเหล่านี้ก็คือ มีฤทธิ์ในการป้องกัน,กำจัดและฆ่าทำลายศัตรูพืชได้เช่นเดียวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ดังนั้นจึงควรตระหนักถึงพิษภัยที่อาจตกค้างมายังผู้บริโภค ว่าสารสกัดจากสมุนไพรเหล่านี้มีฤทธิ์ในการฆ่าทำลายศัตรูพืชได้ ก็ย่อมจะมีผลเสียกระทบต่อร่างกายมนุษย์เช่นเดียวกัน ขอยกตัวอย่างสูตรสารสกัดจากสมุนไพรบางสูตรมีการใช้สมุนไพรที่มีพิษร้ายแรงใส่ลงไป เช่น หางไหลแดง,หางไหลขาว, เมล็ดมะกล่ำ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ถือว่าเป็นพืชพิษ มีพิษร้ายแรงจนถึงขั้นที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับวิธีการตรวจสอบหาความเป็นพิษตกค้างในผลผลิตที่มีการฉีดพ่นด้วยสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาตินั้น นอกจากการตรวจหาความเป็นพิษด้วยชุดน้ำยาตรวจสอบสารพิษตกค้าง“จีที” (ซึ่งมีเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์เราเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเป็นพิษ)แล้ว ก็ยังไม่มีวิธีการใดๆที่จะสามารถตรวจสอบความเป็นพิษตกค้างของสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ได้ แม้กระทั่งวิธีมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการก็ไม่สามารถตรวจสอบหาสารพิษตกค้างเหล่านี้ได้

13/ ม.ค./ 48


กลับขึ้นด้านบน | กลับไปในยังหน้า"ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ จีที" | กลับไปยังหน้าหลัก

    ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับชุดตรวจฯ"จีที"/ คำถามที่ 13

ทำไมผลการตรวจพืชผักอินทรีย์, ผักปลอดสาร ที่ไม่ได้มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเลย เหตุใดผลการตรวจจึงออกมาว่า
พบสารพิษตกค้างได้? และจะมีเกณฑ์การตัดสินที่เหมาะสมสำหรับพืชผักอินทรีย์เหล่านี้อย่างไร

 

    คำตอบ

การที่ชุดน้ำยาตรวจสอบสารพิษตกค้าง“จีที” ตรวจสอบสารพิษตกค้างในตัวอย่างพืชผักอินทรีย์แล้วให้ผลออกมาว่า พบสารพิษตกค้างนั้น สาเหตุเกิดจาก พืชผักเหล่านี้มีการใช้สารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสารสกัดจากสมุนไพรเหล่านี้ก็มีความเป็นพิษตกค้างมาสู่ผู้บริโภคได้เช่นเดียวกันกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ดังนั้นผู้ผลิตและผู้ใช้สารสกัดจากสมุนไพรเองก็ควรมีแบบแผนการใช้งานที่ถูกต้อง มีการกำหนดว่าสูตรสมุนไพรเหล่านี้ใช้กับพืชผักชนิดใดและใช้ฉีดพ่นทุกกี่วัน และควรกำหนดระยะหยุดยาก่อนเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมกับชนิดพืชผักนั้นๆเช่นเดียวกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพื่อเป็นการลดปริมาณสารพิษตกค้างก่อนส่งขายให้กับผู้บริโภค

สำหรับเกณฑ์ตัดสินที่เหมาะสมกับพืชอินทรีย์และผักปลอดสารนั้น ควรจะมีความเป็นพิษตกค้างอยู่ในตัวอย่างได้ในช่วง 0+10% Inhibition เท่านั้น ซึ่งหมายถึง เกณฑ์ของหลอดตัดสินจะอยู่ที่10 % Inhibition ดังนั้นความเข้มสีในหลอดตัวอย่างจะต้องไม่เข้มเกินกว่าหลอดตัดสินที่มีค่า I10% จึงจะถือว่ายอมรับได้

วิธีการทำหลอดตัดสินให้มีเกณฑ์ที่ 10% Inhibition นั้น ในขั้นตอนการใส่น้ำยาผสมจีที-2 จะใส่น้ำยาผสมจีที-2 จำนวน 0.275 ซีซี ลงในหลอดตัดสิน(10% Inhibition) ส่วนหลอดควบคุมและหลอดตัวอย่างอื่นๆ จะใส่น้ำยาผสมจีที-2จำนวน 0.25 ซีซีตามปกติ วิธีการตรวจและสัดส่วนการใส่น้ำยาอืนๆจะเหมือนการตรวจปกติทุกอย่าง

13/ ม.ค./ 48


Note: คำถามที่นำมาลงเหล่านี้เป็นคำถามที่มักจะมีการถามอยู่เป็นระยะ ดังนั้นทางเราจึงมิได้ลงชื่อและหน่วยงานเพื่อเป็นเครดิตแก่ท่านใด

กลับไปยังหน้าหลัก

 

 

 

bottomline
 

ผู้ดูแลเว็บ | เว็บเกี่ยวข้อง
© 2004 GT trading