ชุดตรวจหายาฆ่าแมลง GT
ในความตั้งใจเดิมของข้าพเจ้าผู้พัฒนา มีความต้องการตรวจหาความเป็นพิษของอาหาร
ทั้งในรูปของวัตถุดิบเช่น ผักผลไม้ จนถึง อาหารพร้อมบริโภค โดยการตรวจเพื่อคัดกรองให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากสารพิษที่ปนเปื้อนหรือตกค้างในอาหารเท่านั้น
แต่ที่ใช้คำว่า ชุดตรวจหายาฆ่าแมลง ก็เนื่องจาก หลักการตรวจนี้
จำลองโดยใช้เอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาท
มาเป็นเครื่องมือแทนร่างกายของมนุษย์ในการบ่งบอกผลว่า
อาหารที่จะบริโภคนั้นมีสารพิษอยู่หรือไม่ และถ้ามี สารพิษนั้นจะอยู่ในเกณฑ์ที่ผู้บริโภคสมควรจะรับประทานเข้าไปได้หรือไม่
แต่จากความรู้ที่ผู้คนส่วนใหญ่ทราบกันว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มสารประกอบฟอสเฟต
และคาร์บาเมท มีคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัวที่เป็นสารยับยั้ง/ขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส
(cholinesterase inhibitor) จึงใช้ชื่อว่าชุดตรวจหายาฆ่าแมลงเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
แต่ก็มีนักวิชาการหลายท่านที่มีความเห็นว่า ชุดGT ตรวจยาฆ่าแมลงได้เพียง
2 กลุ่มสาร โดยไม่สามารถบอกได้ถึงชนิดสาร และปริมาณ เพื่อเทียบกับค่ามาตรฐานสารพิษตกค้างของประเทศ(Natioal
MRLs) หรือระหว่างประเทศ ( Codex MRLs) ที่ใช้วิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาซึ่งไม่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนที่สูงมากในการตั้งห้องปฏิบัติการ
ทั้งขาดผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นประเทศเกษตรกรรมด้วย
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ชุดตรวจหรือ test kit เป็นวิธีการอย่างง่ายที่บริการให้แก่ผู้ตรวจทั่วไปที่ไม่มีทุนทรัพย์ในการลงทุน
โดยไม่ต้องคอยผลจากห้องปฏิบัติการของภาครัฐและเอกชนใหญ่ๆที่มีบริการรับตรวจเพียงไม่กี่แห่ง
พร้อมทั้งผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจชนิดสารพิษได้อย่างถูกต้องก็มีไม่มากนัก
ขณะที่ความต้องการตรวจหาสารเป็นพิษ มีอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ ถ้ากล่าวถึงในด้านการตรวจหาชนิดสาร
มีความจำเป็นหรือที่ผู้ตรวจทั่วไปต้องทราบว่ามีสารพิษชื่ออะไร ทั้งที่เมื่อบอกชื่อสารแล้วก็คงจะไม่รู้จัก
หรือรู้จักก็ต้องถามต่อว่า แล้วปริมาณสารที่พบนี้เป็นอย่างไร บริโภคได้ไม่เกินเท่าใดถึงจะปลอดภัย
ถ้าชนิดสารที่พบนั้นไม่มีค่ากำหนดเอาไว้ ก็ไม่สามารถที่จะประเมินผลได้
แต่ผลการตรวจด้วยชุดGT จะสามารถบอกว่า โดยรวมแล้วอาหารนั้นมีสารพิษตกค้างอยู่หรือไม่
และปริมาณความเป็นพิษโดยรวมที่พบอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย(ที่ผู้บริโภคสามารถจะล้าง-กำจัดสารพิษเหล่านั้นได้หมดไป)
หรือปริมาณความเป็นพิษโดยรวมอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัย(ระดับที่ไม่ปลอดภัยนี้
ถึงแม้ผู้บริโภคนำไปล้างทำความสะอาด สารพิษก็ยังไม่หมดไป) และเมื่อเทียบด้านราคาของการตรวจแล้ว
พบว่าการตรวจโดยวิธีมาตรฐานราคาต่อตัวอย่าง ตั้งแต่ 2,000 10,000
บาท ขณะที่ชุดตรวจGT ราคาต่อตัวอย่างแพงสุดก็เพียง 30 บาท
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการตรวจหาสารพิษตกค้างทางห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มากว่า
30 ปี และยังคลุกคลีกับชุดGT ถึงแม้ว่าจะเป็นในระยะเวลาที่สั้นกว่ามาก
แต่ข้าพเจ้าสามารถจะบอกได้โดยไม่ลังเลใจเลยว่า ข้าพเจ้าเลือกที่จะบริโภคผักหรือผลไม้ที่มีผลการตรวจว่าไม่พบหรือพบปลอดภัยจากการตรวจของชุดGT
มากกว่าผลจากการตรวจด้วยวิธีมาตรฐานที่ใช้เครื่องมือราคาแพง ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจเองทั้ง
2 วิธี เพราะจากการคลุกคลีกับชุดGT ทั้งตอบคำถาม ให้คำปรึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ตรวจหลายท่านมาโดยตลอด
พบว่า ชุดGT มิได้ตรวจได้เฉพาะกลุ่มฟอสเฟตและคาร์บาเมทเท่านั้น การใช้สารพิษอื่นๆที่ไม่ใช่สารใน
2 กลุ่มนี้ ก็ยังมีอีกมากมายหลายชนิดที่ชุดGTสามารถครอบคลุมการตรวจได้
เช่น สารคลอโรทาโลนิล(Chlorothalonil) ซึ่งเป็นสารกำจัดเชื้อรา (fungicide)
ในสภาพสารตั้งต้นตรวจด้วยชุดGT ไม่ได้ แต่เมื่อนำไปใช้กับการปลูกสตรอเบอรี่
พบว่า มีปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อของพืชกับสารนี้ แล้วมีความเป็นพิษเกิดขึ้น
และเมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาของการเกิดความเป็นพิษนี้กับสตรอเบอรี่
พบว่ากินเวลานานเมื่อเทียบกับการใช้สารนี้กับพืชชนิดอื่น ซึ่งชุดGTจะบอกผู้บริโภคได้ว่า
ควรกินหรือไม่ ขณะที่วิธีมาตรฐานบอกไม่ได้
นอกจากนี้การไม่ระวังในการใช้ ไม่มีความรู้หรือไม่มีข้อมูลของ residue
trialหรือความไม่มีแบบแผนของการใช้สารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติหลายชนิด
ที่นำมาใช้เป็นสารฆ่าแมลงทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในการทำเกษตรอินทรีย์
ย่อมอาจจะเกิดการเสริมฤทธิ์หรือลดความเป็นพิษลงจากปฏิกิริยาของสมุนไพรกับเนื้อเยื่อพืชได้
ซึ่งถ้าเกิดสภาวะเช่นนี้หรือมีการใช้สารสกัดจากธรรมชาติแบบนี้แล้ว การตรวจสอบโดยวิธีมาตรฐานจะไม่สามารถตรวจสอบถึงสารพิษตกค้างเหล่านั้นได้เลย
ขณะที่ชุดGTก็ยังสามารถบ่งบอกถึงความเป็นพิษเหล่านั้นได้ ดังนั้นชุดนี้ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจเพื่อคัดกรองความเป็นพิษให้แก่ผู้บริโภค
กรณีเช่นนี้นักวิชาการหลายท่านจะบอกว่า ผลของชุดGT เป็นผลบวกปลอม
(false positive) แต่ในที่นี้ผลบวกปลอมท่านยอมรับหรือไม่ว่า มีสารเป็นพิษเกิดขึ้น
และถ้าผลจากชุดตรวจ บอกว่า ผักนี้มีสารพิษโดยรวมในปริมาณที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ขณะที่การตรวจด้วยวิธีมาตรฐานบอกว่า ไม่พบอะไรเลยอย่างนี้ ท่านจะบริโภคผักนี้หรือไม่
กรุณาพิจารณาเอาเอง
ส่วนในความคิดเห็นของนักวิชาการบางกลุ่ม บอกว่าชุด GTตรวจได้ 2กลุ่มสารที่เกษตรกรไทยใช้เป็นประจำ
แต่ไม่เหมาะกับตัวอย่างผักผลไม้นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ เพราะเขาไม่ได้ใช้สารแบบเดียวกันกับในประเทศ
ทำให้ตรวจไม่ได้ ความจริงแล้ว เกษตรกรบ้านเมืองไหนก็ใช้สารเคมีคล้ายๆกัน
ซึ่งมีทั้งกลุ่มฟอสเฟตและคาร์บาเมท เพียงแต่อาจเป็นฟอสเฟตหรือคาร์บาเมทคนละชนิด
และถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็จะมีการใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดไม่เหมือนเกษตรกรบางรายในบ้านเราที่ใช้ผิดชนิดกับพืชผิดประเภท
เช่น สารกำจัดเพลี้ยกระโดดในนาข้าว ไปพบว่าตกค้างในผัก เป็นต้น และที่บอกว่า
เขาใช้ยาไม่เหมือนในบ้านเรา ก็เท่ากับบ่งบอกว่า การตรวจโดยวิธีมาตรฐานของบ้านเราก็ตรวจไม่ได้
เพราะไม่รู้ว่า จะเอาสารมาตรฐานตัวไหนมาเปรียบเทียบชนิดหรือปริมาณ ถ้าไม่ตรงกับสารมาตรฐานที่เรามีอยู่ก็ตรวจไม่ได้เหมือนกัน
แต่ชุดGT ใช้สำหรับคัดกรองเบื้องต้นเพื่อหาสิ่งเป็นพิษในอาหารนำเข้า
ซึ่งผลอาจมาจากปฏิกิริยาเสริมฤทธิ์ของสารฆ่าแมลงของเขา กับเนื้อเยื่อพืช
ซึ่งวิธีการตรวจที่รวดเร็วนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งที่สามารถสุ่มตรวจตัวอย่างได้ครอบคลุมทุกรุ่นของอาหารนำเข้า
แต่หากไม่มีการตรวจอาหารนำเข้า หรือสุ่มตรวจเฉพาะบางรุ่นโดยวิธีมาตรฐาน
ซึ่งมีข้อจำกัดด้วยเรื่องของเวลา ทำให้อาหารนำเข้าบางรุ่นไม่ได้รับการตรวจ
ยิ่งจะไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
เรื่องสุดท้ายที่ทุกท่านจะต้องตระหนักอย่างยิ่ง คือ ของเสียจากการตรวจโดยวิธีมาตรฐานทางห้อง
ปฏิบัติการ มีทั้งชนิดและปริมาณสารเคมีและน้ำยาเคมีจำนวนมากในการตรวจแต่ละวัน
ซึ่งวิธีการกำจัดค่อนข้างยากและ เสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และยังหาผู้ที่จะรับไปกำจัดยาก
เพราะไม่คุ้มกับการลงทุน ยิ่งน้ำยาเคมีที่ใช้สกัดสารพิษได้ดีที่สุดคือ
อะซีโตไนไตร์(acetonitrile) หรือ เม็ทธิลไซยาไนด์(methyl cyanide)นอกจากจะมีความเป็นพิษต่อสุขภาพของผู้ตรวจ
โดยปริมาณที่ทำให้เกิดพิษเมื่อมีในบรรยากาศ 40 ส่วนในล้านส่วน (threshold
limit ในอากาศ 40 พีพีเอ็ม) แล้ว เมื่อทิ้งออกสู่ภายนอกยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
|